วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการทางการเมืองของมาเลเซีย

          ตั้งแต่ ค.ศ. 1963 ถึงปัจจุบัน ที่เริ่มจากการแบ่งแยกทางเชื้อ ชาติระหว่างชาติพันธุ์หลักในสังคมมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวมลายูและชาวจีน ปัญหานี้ถือ ได้ว่าเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมมาโดยตลอด และเมื่อชาวมลายูยิ่งมีความสนใจและมีส่วน ร่วมทางการเมืองมากเท่าใด ก็ยิ่งมีการเรียกร้องและแสดงความเป็นเจ้าของประเทศ รวมถึงความเป็น อภิสิทธิ์ชนมากขึ้นเท่านั้น และการเรียกร้องดังกล่าวนี้ ได้ถูกกำหนดไว้ในหลายมาตราของรัฐธรรมนูญ อย่างชัดเจน เช่น มาตราที่ 153 กำหนดไว้ว่า ให้ประมุขของประเทศรักษา “สถานะพิเศษ” ของชาวมลายู ซึ่งรัฐบาลเองก็ต้องให้สิทธิพิเศษแก่ชนกลุ่มนี้ด้วย ทั้งในด้านการศึกษา ตำแหน่งทางราชการ และการเป็น เจ้าของในกิจการธุรกิจบางชนิด เป็นต้น หรือมาตราที่ 160 กำหนดความเป็นชาวมลายูไว้ว่า จะต้องเป็น บุคคลที่นับถือศาสนาอิสลาม ใช้ภาษามลายูเป็นประจำ และปฏิบัติตามประเพณีของชาวมลายู นอกจากนี้ ยังมีอีก 9 มาตรา ที่กำหนดการถือสัญชาติมาเลเซียอีกด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ยกเว้นมาตราเหล่านี้ แล้ว รัฐธรรมนูญของมาเลเซียได้บัญญัติไว้ว่า จะให้ความคุ้มครองตามหลักเสรีประชาธิปไตย และให้ ความเสมอภาคทางกฎหมายแก่ประชาชนมาเลเซียทุกกลุ่มอย่างทัดเทียมกัน

          สำหรับเหตุการณ์ภายในสหพันธรัฐเอง อัตราส่วนของเชื้อชาติต่างๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกับการขยายตัวของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของชนพื้นเมืองในซาราวัคและซาบาห์ นอกจากนี้จำนวนชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายจากการที่สิงคโปร์เข้าร่วมในสหพันธรัฐ เป็นต้น
          อย่างไรก็ตาม ปัญหาอีกด้านก็เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิงคโปร์และได้ถึงจุดอวสานในอีก 2 ปี ต่อมา เมื่อสิงคโปร์ได้ถอนตัวออกไปจากสหพันธรัฐมาเลเซียในเดือนสิงหาคม 1965 และประกาศตัวเป็นเอกราช การแยกตัวออกไปครั้งนั้น ถึงแม้สาเหตุเบื้องต้นมาจากความไม่ไว้ใจกันระหว่างชาวจีนและชาวมลายูอันเนื่องมาจากความไม่เสมอภาคในทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่การแสวงหาอำนาจทางการเมืองระหว่างพรรคอัมโนกับพรรคกิจประชา (People’s Action Party – PAP) และการแบ่งสรรผลประโยชน์ต่างๆที่ไม่ลงตัว ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญในวิกฤตการณ์นั้น และยังส่งผลลบไปอีกนานในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ 2 ประเทศนั้น 


วิวัฒนาการทางการเมืองในสหพันธรัฐมาเลเซีย นับแต่นี้ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 มี ประเด็นที่น่าสนใจอยู่เพียง 3 เรื่องด้วยกัน คือ


- ประเด็นที่ 1 เกี่ยวกับการส่งเสริมชาวมลายู ตามลัทธิภูมิบุตร (Bumiputerism) ที่จะให้มี สถานภาพพิเศษและเข้าครอบงำทางการเมืองอย่างเด็ดขาด จนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ ดังปรากฏในการจลาจลเมื่อเดือนพฤษภาคม 1969 ความตึงเครียดและการเผชิญหน้าระหว่างชาวมลายูและ ชาวจีนในสหพันธรัฐจึงอยู่ในความรู้สึกลึก ๆ ของผู้คนอันจะเป็นปัญหาต่อการพัฒนาการทางสังคมใน ระยะยาว 

- ประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่รัฐพยายามนำเอานโยบายเศรษฐกิจ ใหม่ (New Economic Policy – NEP) มาใช้ระหว่างปี ค.ศ. 1970-1990 และการประกาศวิสัยทัศน์ 2020 (Vision 2020) ในปี ค.ศ. 1991 ที่จะทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในอีก 30 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกันประเด็นทางเชื้อชาติก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เมื่อกระบวนการส่งเสริมชาวมลายูได้เข้า แทรกแซงในการกำหนดและการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจากข้อตกลงเดิมที่จะให้ชาวมลายูดูแล ด้านการเมืองและชาวจีนดูแลด้านเศรษฐกิจ แต่เมื่อนโยบายเศรษฐกิจใหม่ถูกนำมาใช้ รัฐบาลก็พยายามลด ช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างชาวมลายูกับชาวจีนด้วยการส่งเสริมชาวมลายูในทุกรูปแบบ ถึงขั้นนำเอา ระบบอุปถัมภ์ (patronage) มาใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งส่งผลสะท้อนในด้านจิตใจต่อชน 2 เชื้อชาติอย่างลึกซึ้ง 

- ประเด็นที่ 3 เกี่ยวกับการเมืองโดยตรง ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า พรรคอัมโนพยายามรักษาความ เป็นผู้นำของกลุ่มหรือพรรคพันธมิตร (Alliance Party) หรือพรรคองค์การพันธมิตร (Alliance Organization) ไว้ โดยที่มีอีก 2 พรรคการเมืองเข้าร่วมคือ พรรคของชาวจีนที่มีชื่อว่า สมาคมชาวจีนมลายู หรือเอ็มซีเอ (Malayan Chinese Association – MCA) และพรรคของชาวอินเดีย คือสภาชาวอินเดียมลายู หรือเอ็มไอซี (Malayan Indian Congress – MIC) แต่เมื่อเห็นว่าฐานเสียงพรรคพันธมิตรประสบความ ล้มเหลวในการเลือกตั้งของปี ค.ศ. 1969 พรรคอัมโนจึงได้ขยายสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรออกไป ด้วยการ นำเอาฝ่ายค้านบางพรรคที่เป็นตัวแทนของกลุ่มหรือชุมชนต่าง ๆ เข้ามาร่วมเป็นสมาพันธ์แห่งพรรค การเมืองที่เรียกว่า แนวร่วมแห่งชาติ (National หรือ Barisan Nasional – BN) ขึ้นมาในการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1947 อย่างไรก็ตาม การสร้างระบบพันธมิตรตาม 2 รูปแบบดังกล่าวนี้ เป็นการแสดงออกของการ ผสานผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างชาติพันธุ์ หรือเป็นการประสานกันของกลุ่มชนที่เชื้อชาติต่างกัน (consociationalism) ของพรรคอัมโนที่เป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดเป็นแกนนำ
          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น